Blog

  • เคยตั้งเป้าหมายแล้วทำไม่สำเร็จมั้ย?

    เคยตั้งเป้าหมายแล้วทำไม่สำเร็จมั้ย?

    Why time management? เราเคยตั้งเป้าหมาย และทำไม่สำเร็จหลายเป้ามากๆ เรียกว่า 50% สำเร็จ อีก 50% ล้มเหลว

    เมื่อสองปีที่ก่อนนี่หนักมาก แบบว่าต้องการเวลาวันละ 48 ชั่วโมง ทั้งงานประจำ งานเสริม งานที่ร้านที่เชียงใหม่ เวลากินนอนทำงานพักผ่อนคือพังสุด ดูยุ่งมากใช่ป้ะ แต่เหมือนชีวิตไม่ได้ไปไหนสักที แบบว่ามันเหนื่อยในแต่วัน

    จะบอกว่าจริงๆแล้ว มันเป็นเพราะเราชอบเรียน ชอบทำ และทำทุกอย่าง ที่มันไม่ได้ตอบโจทย์ในชีวิตเราจริงๆ

    มันไม่ใช่แค่เรื่องทำงานให้เสร็จ แต่มันต้องพาเราไปใกล้เป้าหมายด้วย แต่ประสบการณ์เรานะ ยิ่งทำเท่าไหร่ เหมือนเป้าหมายมันไกลออกไป เราไม่ได้เข้าใกล้มันเลย เหมือนเราไม่ได้อยู่กับปัจจุบันจริงๆ ถามตัวเองที่ทำอยู่นี่คืออะไรนะ

    ประโยชน์ของการจัดการเวลา มันจะช่วยให้เราโฟกัสกับสิ่งที่สำคัญ ไม่ใช่สิ่งที่เร่งด่วน อ่านตรงนี้แล้วลองหยุด ทวนอีกที ‘สิ่งที่สำคัญ ไม่ใช่สิ่งที่เร่งด่วน’ ชีวิตเราก่อนหน้านี้ ถูก drive ด้วยความเร่งด่วนมาตลอด ไม่แปลกที่ยิ่งทำ ยิ่งรู้สึกเป้าหมายไกลออกไป เพราะเราไม่ได้ใกล้เป้าหมายเลยสักนิด การจัดการเวลาช่วยให้เราลดความรู้สึกผิดต่อตัวเองและความเครียดเวลาที่เราไม่ได้ทำตามแพลน เราเคยนอนน้ำตาไหลเสียใจที่ติ๊ก to-do list ไม่ครบทุกข้อของวันนั้น เรารู้สึกว่าเราควบคุมอะไรไม่ได้เลย

    แต่พอมาทำการจัดการเวลาให้ดีขึ้นแล้ว เรารู้สึกว่า เราควบคุมชีวิตตัวเองได้ มันดีมากๆเลยนะความรู้สึกนี้ พลังใจมาเต็ม และถึงแม้จะมีเวลาเท่าเดิม แต่เรามีเวลามากขึ้น เพราะเราเลือกเองไง เราไม่ได้ถูก drive ด้วยสิ่งที่เร่งด่วนอีกแล้ว อาจจะมีบ้าง แต่น้อยมาก เพราะเราหวงเวลาและตารางเรา เราไม่ยอมแลกเวลาของเรากับอะไรที่ไม่สำคัญอีกแล้ว เรามั่นใจตัวเองมากขึ้น ทุกวันนี้ planner เหมือนอวัยวะที่ 33 ของเราเลย

    เราใช้เครื่องมือหรือวิธีอะไรบ้างในการจัดการเวลา? จะบอกว่าศึกษาหลายศาสตร์มากๆ แล้วเราจะเลือก pick and choose ส่วนที่เหมาะกับเรา แล้วเอามาปรับใช้ เช่น

    • OKRs ทำปีละ 2 ครั้ง ต้นปีกับกลางปี เขียนลง planner และแปะข้างฝาบ้าน เห็นมันทุกวัน ดูทุกวัน
    • Time boxing อันนี้ดีมาก ชีวิตอยู่กับร่องกับรอยก็เพราะสิ่งนี้เลย เราทำทุกสัปดาห์ ลงหลวมๆล๊อคละ 2 ชั่วโมงไปก่อน แล้วเราดูทุกวัน 1-2 ก่อนหน้า มีอะไรเสริม มีอะไรแทรกก็จับมันลงไปในล๊อคนั้นๆ
    • Journal นี่เขียนทุกวัน เช้ากับก่อนนอน รู้สึกชีวิตมีคุณค่า มีความหมาย เราโชคดีแค่ไหน เรียกว่าเป็นเพื่อนแท้ของเราเลย เป็นที่ๆให้เรากลับมาโอบกอดได้ทุกวัน ก่อนนอนก็ได้เขียนบอกเพื่อนแท้ว่า วันนี้มี Amazing things อะไรบ้าง และถ้าวันนี้มันจะดีขึ้น มันต้องเป็นแบบไหน หลายครั้งมากๆที่เราเขียนช่องนี้ว่า ไม่มีอะไรจะดีไปกว่านี้ได้อีกแล้ว วันนี้มันดีสุดๆไปเลย
    • Second brain สิ่งที่เราชอบที่สุดคือ PARA Method การเก็บไฟล์ข้อมูลต่างๆ คือมี 4 folders หลัก คือ Project, Area, Resource, and Archive พูดได้เลยว่าชีวิตเปลี่ยนเพราะ PARA Method จริงๆ กราบแนบอก Tiago Forte งามๆ ผู้คิดค้นหลักการนี้ เมื่อก่อนเวลาทำงาน 100% เสียเวลาไปกับการหาข้อมูล 50% ทำงานจริง 50% แต่ตั้งแต่รู้จัก PARA ก็ไวไปหมด อะไรเก็บไว้ตรงไหน เพราะเราเก็บตามการใช้งาน ไม่ได้เก็บรวมตั้ง folder เป็นเรื่องๆ
    • Notion อันนี้คือที่สุด ตอบโจทย์แทบทุกอย่างเลย function การใช้งาน แผนงาน project ต่างๆ และ database ก็เริ่ด มี page ย่อยของแต่ละเรื่อง tag, status และ lock page ได้ คือปกติเราชอบเขียน notebook มีหลายเล่ม ชอบเขียน ชอบซื้อ แต่พอเวลาผ่านไป จะกลับไปหาเรื่องนั้น หาไม่เคยเจอ และไม่กี่เดือนมานี้ เราเก็บของเพื่อเตรียมตัวตาย ก็พยายามจะโละ มีของใช้เท่าที่จำเป็น ก็จะ digitalize มันให้หมด เอามาใส่ notion นี่แหละ
    • Power of Output อันนี้เป็นจุดเริ่มต้นให้เราเริ่มเขียนบทความ และกล้าก้าวข้ามความรู้สึกอะไรหลายๆอย่าง เล่าแบบเร็วๆคือการเรียนรู้และการพัฒนาตนเองอย่างมีคุณภาพ คือสร้าง output ยกตัวอย่าง การอ่านหนังสือธรรมดา (input) กับการอ่านหนังสือเพื่อไปสอนผู้อื่น (input →output) มันต่างกันไหม ต่างใช่ป้ะ เพราะเราต้องเอาไปถ่ายทอด เราต้องเข้าใจมันอย่างแท้จริง ถึงจะเอาไปสอน เอาไปเล่า เอาไปอธิบาย สรุป mind map ลงมือทำ จะไม่ใช่แค่ ‘รู้’ แต่ ‘เข้าใจ’ และ ’นำไปใช้ได้จริง’
    • Pomodoro นี่ก็โคตรมีประโยชน์ เราตั้งใจทำงานโฟกัส 25 นาที แล้วพัก 5 นาที ซึ่ง 25 นาทีนั้นจะอยู่กับเรื่องตรงนั้นแบบลงลึก มองแว่บไปเรื่องอื่นแล้วดึงตัวเองกลับ ปิด notifications ทุกชนิด เลือก focus mode ทุก device ซึ่งเวลาทำงานจริงก็จะติดพัน ทำยาว บางครั้งก็อั้นปัสสาวะแบบว่ายังไม่เสร็จ ขออีกแปป ซึ่งพอเราเซตที่ 25 นาทีก็ลุกเบรคแปปนึงแล้วมาทำต่อ มันดีกว่าลากยาวมากๆเลยนะ

    มุมมองส่วนตัวเรานะ เราชอบตั้งเป้าหมาย เหมือนมี direction แต่ไปไม่ถึงบ่อย เพราะเราตั้งเป้าหมายที่ผลลัพธ์ (ควบคุมไม่ได้) เพราะมันมีปัจจัยอื่นมาเกี่ยวข้อง เป็นปัจจัยที่เราควบคุมไม่ได้ ปีที่ผ่านมานี้ เราเปลี่ยนมาตั้งเป้าหมายที่การกระทำของเราเอง ที่เราควบคุมได้ 100% แล้วปล่อยวางในผล เราจะเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงจากการลงมือทำของเรา แล้วก็รู้สึกดีกับตัวเองมากขึ้นเรื่อยๆ เราย้อนเวลากลับมาไม่ได้ เพราะฉะนั้นมันไม่ใช่แค่เรื่อง productivity แต่มันรวมถึงการใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพ และเคารพความฝัน เป้าหมายของตัวเราเอง

    แนะนำสำหรับผู้เริ่มต้น เริ่มเล็กๆโดยการเขียน journal ตอนเช้าวันละ 5 นาทีก็ได้ หรือลอง time boxing ใน calendar สักสัปดาห์นึงก่อน แล้วดูว่าเป็นอย่างไร มันไม่สูตรสำเร็จว่าอะไรเหมาะกับใคร มันไม่ใช่ one size fits all ต้องลอง ลองไปเรื่อยๆ แล้วจะรู้จักตัวเองมากขึ้น