
มา จะเล่าให้ฟัง
ทำไมต้องวาด?
เล่าจากมุมมองของที่พื้นฐานไม่ได้มีสมาธิอะไรมาก มีแค่ความมุ่งมั่น ที่อยากจะศึกษา เรียนรู้ ที่จะนิ่ง สงบ ไม่ฟุ่งซ่าน
ก่อนที่เราจะเริ่มวาด ก็มีความรู้สึกว่า จะทำได้หรอวะ แบบว่าเราวาดรูปไม่เป็นนะ อันนี้มีปมจากวัยเด็ก ที่ครูศิลปะชื่นชมเพื่อนๆ ยกเว้นเรา และเราได้คะแนนศิลปะน้อยสุด เมื่อเทียบกับเพื่อนในห้องวิชาเดียวกัน และเมื่อเทียบกับตัวเองวิชาอื่นๆ ทุกวันนี้ยังจำความรู้สึกวันนั้นได้ทุกรูขุมขน ความรู้สึกที่ไม่ถูกเลือก
เราได้รู้จักการวาด zentangle จากครูเอ๋ เราวาดทุกวัน วันละ 15 นาที แค่ 15 นาทีต่อวันเนี่ยแหละ ที่เปลี่ยนความเชื่อเรามหาศาล

มันเป็นการวาด/ลากที่เรียบง่าย แค่ลากจากจุดหนึ่ง ไปที่อีกจุดหนึ่ง ไม่มีคำว่าสวยหรือไม่สวย เราไม่รู้ว่าภาพสุดท้ายมันจะออกมาเป็นยังไงด้วยซ้ำ เพราะฉะนั้นตัดคำว่าสวย/ไม่สวยออกไปได้เลย เราแค่ลากเส้น อยู่กับปลายปากกา อยู่กับลมหายใจ แค่นั้นเอง จบเส้นนึง เราก็ลากใหม่ เราก็อยู่กับลมหายใจที่ปัจจุบัน ณ ขณะนั้น เวลานั้นนะ มันมีพลังมาก มันมีแค่เรากับพื้นที่ปลอดภัยตรงนี้ ที่ที่ไม่มีใครตัดสินเรา มันเป็นพื้นที่ให้หัวใจได้ปลดปล่อยมา เรากล้าทำอะไรหลายอย่างที่เสี่ยงกับอนาคตที่ไม่แน่นอน เหมือนกับที่เรากล้าออกแรงมือ ลากเส้นจากจุดหนึ่ง ไปยังอีกจุดหนึ่ง โดยที่เราก็ไม่มั่นใจ ว่ามันจะออกมาเป็นยังไง แต่ถ้าไม่กล้าก้าวออกไป ก็อยู่ที่เดิม
ประโยชน์ของการวาด
เรากล้าที่จะออกจากกรอบเดิมๆ กล้าที่จะทำตามความเชื่อ เราได้พัฒนาจิตใจ การรู้เท่าทันตนเอง เราได้ฝึกสมาธิ ฝึกปล่อยวาง และละวางอะไรได้หลายอย่าง ยืดหยุ่นมากขึ้น และเปิดโอกาสให้หัวใจได้มีพื้นที่ ได้แสดงออก ได้รับการฝึกฝน ขัดเกลา และเราได้ของขวัญจากการเริ่มต้นใหม่ทุกวัน ทุกเช้าที่ตื่นมา เรารู้สึกว่าเป็นคนที่โชคดีมาก กินอื่ม นอนหลับ มี quality time ให้ตัวเองทุกเช้า เพราะตัวเราสำคัญที่สุด เวลาที่มี ให้ตัวเองก่อน การวาดสำหรับเรามันคือการบำบัดที่ดีมาก
ทำไมเราต้อง reset จิตใจ?
ในแต่ละวันเราเจออะไรกันมากมายเนอะ มันแต่สิ่งที่ต้องทำๆๆๆ สมองเราแทบไม่ได้พักเลย เราเสพสื่อกันแทบจะตลอดเวลาตื่น และสิ่งเร้ารอบตัวมันทำให้เราต้องคิดและทำ เราสะสมความเครียด ความกังวลโดยไม่รู้ตัว พอมารู้ตัวอีกมันเศร้า มันแย่ รู้สึกว่าชีวิตเราหายไปวะ ที่ทำๆอยู่ทุกวันนี้คืออะไร มันใช่สิ่งที่เราต้องการจริงๆไหม ทั้งหมดนี่แหละ ที่เราต้อง reset หัวใจ จากความเหนื่อยสะสม พอเราได้หยุดทุกอย่าง และกลับมาอยู่กับปัจจุบัน มันโคตรมีความสุขเลย ที่ที่มันมีแค่เรา โลกข้างนอกจะเสียงดังแต่ไหน มันก็ไม่สามารถเข้ามาในพื้นที่ปัจจุบันขณะ ณ ตอนนี้ของฉันได้ มันเรียบง่ายเลยเนอะ แต่ทรงพลังสุดๆ

คิดยังไงกับการวาด/ลาก?
มันเป็นการ grounding สำหรับเรา ไม่รู้จะแปลภาษาไทยว่าอะไร แปลยากจัง เรียกทับศัพท์ไปแหละนะ เราได้ยินคำนี้ครั้งแรกตอนเรียนกระบวนกรที่มหิดลกับครูหยิก ตอนนั้นเราได้ยืนบนพื้นหญ้า เท้าสัมผัสพื้น และทำตามกระบวนการที่ครูพาไป มันเป็นความรู้สึกที่เหมือนเรากับโลกส่งพลังถึงกัน และเรากับโลกเป็นสิ่งเดียวกัน เห็นมั้ยว่าเราจำความรู้สึกได้จนถึงตอนนี้ ทั้งที่ผ่านมามากกว่า 5 ปีแล้วมั้ง แต่คำพูดของครูจำไม่ได้สักคำ ฮ่าฮ่า
พอเรามาวาด/ลากเนี่ย มันเหมือนการ grounding เลย มันได้เชื่อมโยงกับโลกภายในของเราเอง มันมีการทะเลาะกันในหัว มีหลาย self ผุดขึ้นมาและอยากส่งเสียงอะไรบางอย่าง เค้าสื่อสารไม่ได้เป็นคำพูด เค้าสื่อสารกับเราผ่านพลังงานของการลาก/วาด น้ำหนักแรงเบา ลายเส้นนิ่งหรือสั่นๆ
ขั้นตอนมันเป็นยังไงบ้าง?
เราจะเริ่มด้วยการสัมผัส สัมผัสมือตัวเอง เอาสองมือมาจับกัน ขอบคุณสองมือของเรา หายใจเข้าลึก หายใจออกยาว สัมผัสกระดาษ สัมผัสดินสอ ขอบคุณอุปกรณ์เหล่านั้น ขอบคุณคนรอบข้าง ขอบคุณตัวเอง ที่อนุญาตให้เราได้ใช้เวลาเพื่อตัวเองอย่างแท้จริง จากนั้นให้ตั้งจิต set intention หรือถามชวนคิด เช่น “ฉันกําลังเดินบนเส้นทางชีวิตแบบไหน?” แล้วลงมือทำ ลงมือวาด/ลาก อยู่กับปัจจุบันที่ปลายปากกาเท่านั้น เมื่อรู้สึกตัวว่าไปคิดเรื่องอื่น ก็ให้เห็น ให้รู้ และกลับมา โดยไม่รังเกียจหรือผลักไสอะไรทั้งสิ้น แค่เห็นและรู้ เมื่อทำเสร็จแล้ว ให้ reflect หน่อยว่า เราเห็นอะไร รู้สึกอะไร ทั้งก่อนทำ ระหว่างทำ และหลังทำ
การวาดแบบนี้มันต่างจากการวาดศิลปะเพื่อความสวยงามตรงที่ สมมติเราจะวาดดอกไม้ เราจะคิดถึงดอกไม้ คิดในหัวว่าดอกจะเป็นยังไง กลีบจะเป็นยังไง ใบจะเป็นยังไง ขณะที่ลงมือวาด ในหัวก็จะคิด step ต่อไป เพราะฉะนั้น เวลานั้นจะไม่ได้อยุ่กับปัจจุบัน จะมีปัจจุบันและอนาคตตลอด session และหลังจากนั้นจะแอบมีความรู้สึก ใช่/ไม่ใช่ สวย/ไม่สวย

ขอบคุณกระดาษและปากกา ที่พักใจในวันที่โลกเสียงดัง 🙂